เหล็กเส้น เป็นวัสดุพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างมากในงานก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นการสร้างบ้าน อาคาร โรงงาน หรือโครงสร้างขนาดใหญ่ เพราะเหล็กเส้นทำหน้าที่เสริมความแข็งแรงให้คอนกรีต ป้องกันการแตกร้าว และช่วยให้โครงสร้างมีความทนทานต่อแรงต่าง ๆ ได้ดียิ่งขึ้น การเลือกเหล็กเส้นจึงไม่ใช่เพียงแค่ดูราคา หรือขนาดเท่านั้น แต่ต้องเข้าใจคุณสมบัติ ประเภท มาตรฐาน และการใช้งานที่เหมาะสมด้วย บทความนี้จะพาคุณมาทำความเข้าใจ วิธีเลือกเหล็กเส้นแบบมืออาชีพ เพื่อให้เหมาะกับลักษณะงานก่อสร้าง ช่วยลดความเสี่ยงด้านความปลอดภัย และประหยัดต้นทุนได้ในระยะยาว
เหล็กเส้นคืออะไร? ทำไมต้องใช้ในงานก่อสร้าง
เหล็กเส้น คือ เหล็กที่ผ่านกระบวนการรีดร้อนจนได้แท่งเหล็กยาวที่มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางแตกต่างกันไป เหล็กชนิดนี้จะถูกนำมาใช้เป็นส่วนประกอบหลักของโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก เพื่อให้คอนกรีตซึ่งมีคุณสมบัติแข็งแต่เปราะ สามารถรับแรงดึง แรงอัด และแรงบิดได้ดียิ่งขึ้น หากไม่มีเหล็กเส้น คอนกรีตเพียงอย่างเดียวจะรับแรงดึงได้ไม่มาก และอาจเกิดการแตกร้าวได้ง่าย เหล็กเส้นจึงทำหน้าที่เหมือนโครงกระดูกของอาคาร ที่ช่วยให้โครงสร้างมีความมั่นคง แข็งแรง และมีอายุการใช้งานยาวนาน
ประเภทของเหล็กเส้นที่ใช้ในงานก่อสร้าง
- เหล็กเส้นกลม (Round Bar หรือ RB)
เหล็กเส้นกลมมีลักษณะผิวเรียบ และหน้าตัดเป็นรูปทรงกลม ทำให้ดัดงอได้ง่าย เหมาะกับงานโครงสร้างที่รับแรงไม่มาก เช่น ปลอกเสา ปลอกคาน หรือโครงสร้างขนาดเล็กถึงกลาง เหล็กชนิดนี้มีขนาดให้เลือกตั้งแต่ 6 – 25 มิลลิเมตร ราคาประหยัด และหาได้ง่าย ทำให้นิยมใช้ในงานก่อสร้างทั่วไปที่ไม่ต้องการแรงดึงสูง
- เหล็กเส้นข้ออ้อย (Deformed Bar หรือ DB)
เหล็กข้ออ้อยมีลักษณะเป็นเส้นกลมแต่มีบั้ง หรือข้อปล้องตลอดความยาว เพื่อเพิ่มแรงยึดเกาะกับคอนกรีต ทำให้โครงสร้างสามารถรับแรงดึงได้ดี เหมาะกับงานโครงสร้างที่ต้องการความแข็งแรงสูง เช่น อาคารสูง สะพาน หรือถนน ขนาดที่นิยมใช้มีตั้งแต่ 10 – 40 มิลลิเมตร และเป็นเหล็กที่มืออาชีพเลือกใช้ในงานโครงสร้างหลัก
เคล็ดลับจากผู้เชี่ยวชาญในการเลือกเหล็กเส้น
1. ตรวจสอบฉลากและเครื่องหมายมาตรฐาน
ควรตรวจสอบฉลาก หรือป้ายติดกับเหล็กเส้นให้มีข้อมูลครบถ้วน เช่น ยี่ห้อ ขนาด และต้องมีเครื่องหมายรับรองมาตรฐาน มอก. (มาตรฐานอุตสาหกรรม) อย่างชัดเจน หากป้ายฉลากหลุด ให้ดูตัวอักษรนูนบนเนื้อเหล็กซึ่งมักจะระบุชื่อผู้ผลิต ชนิด และขนาดเช่นกัน
2. เลือกขนาดและเส้นผ่านศูนย์กลาง
ควรยึดตามแบบก่อสร้างหรือคำแนะนำของวิศวกร สำหรับเหล็กเส้นแต่ละชนิดมีการใช้งานต่างกัน เหล็กข้ออ้อย (มีบั้งรอบเส้น) แข็งแรงสูง จึงนิยมใช้กับโครงสร้างหลักที่รับน้ำหนักมาก เช่น ฐานราก เสา หรือคาน ส่วนเหล็กเส้นกลม (ผิวเรียบ) เหมาะกับงานรองรับแรงน้อย เช่น ปูพื้นถนนทั่วไป อย่าเปลี่ยนชนิดหรือเกรดเหล็กเอง เพราะแต่ละแบบออกแบบมาเพื่อรับแรงแตกต่างกัน
3. ตรวจสอบสภาพเหล็กก่อนใช้งาน
ก่อนนำไปก่อสร้าง ควรตรวจสอบผิวเหล็กว่าปราศจากสนิมลึก ผิวเรียบ และไม่มีรอยบุบหรือบิดงอ เหล็กที่เก็บไว้นาน หรือโดนความชื้นอาจเสื่อมคุณภาพ สามารถทดสอบง่าย ๆ ด้วยการดัดปลายเหล็กดู หากคุณภาพดีจะไม่ปริแตก หรือหักง่าย
4. คำนึงถึงราคากับคุณภาพ
เปรียบเทียบราคาเหล็กจากหลายแหล่ง หลีกเลี่ยงการซื้อเหล็กเส้นที่ราคาถูกผิดปกติ เพราะเหล็กที่ราคาต่ำมากอาจมีคุณภาพต่ำ และไม่ปลอดภัย การเลือกเหล็กที่มีคุณภาพดีแม้จะราคาแพงกว่าเล็กน้อย จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายระยะยาว เพราะลดความเสี่ยงงานซ่อมแซม หรือเปลี่ยนโครงสร้างภายหลังได้
5. เลือกผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายที่เชื่อถือได้
ควรเลือกซื้อจากโรงงานที่มีใบรับรองมาตรฐาน มอก. ถูกต้อง และมีชื่อเสียงในตลาด ผู้ขายที่ดีมักมีประวัติการส่งของตรงเวลา และให้บริการหลังการขาย สามารถให้คำแนะนำ และข้อมูลที่ถูกต้องได้
6. พิจารณาสภาพแวดล้อมก่อนใช้เหล็กเส้น
หากงานก่อสร้างอยู่ในพื้นที่ชื้นมาก หรือใกล้ทะเล ควรเลือกใช้เหล็กเส้นที่เคลือบป้องกันสนิมพิเศษเพิ่ม เพื่อยืดอายุ และเพิ่มความปลอดภัยให้โครงสร้าง นอกจากนี้การเก็บรักษาเหล็กเส้นให้ห่างน้ำ และความชื้น เช่น วางเหล็กบนแท่นรองให้พ้นพื้นเปียก และคลุมด้วยผ้าใบที่ระบายอากาศได้ จะช่วยลดการเกิดสนิมก่อนใช้งาน
7. ขอใบรับรองคุณภาพ (COA) และผลทดสอบจากผู้ผลิต
ก่อนรับเหล็กทุกครั้ง ควรขอใบ Certificate of Analysis ที่ระบุชื่อผู้ผลิต มาตรฐาน มอก. และผลทดสอบเชิงกล (เช่น กำลังรับแรง) ของเหล็กเส้น ให้ตรวจสอบว่าเลข Heat No. บนฉลากเหล็กตรงกับเลขในใบรับรอง เพื่อยืนยันว่าเหล็กล็อตนั้นเป็นไปตามเกรดที่ระบุ ช่วยป้องกันการได้เหล็กเส้นที่มีคุณภาพต่ำ หรือไม่ตรงสเปคมาใช้ในโครงสร้าง
สรุป: เลือกเหล็กเส้นอย่างมืออาชีพ เพื่อความปลอดภัยและคุ้มค่า
การเลือกเหล็กเส้นให้เหมาะกับงานก่อสร้างคือขั้นตอนสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม เพราะเหล็กเป็นหัวใจของโครงสร้างทั้งหมด หากเลือกผิด หรือใช้เหล็กไม่ได้มาตรฐาน อาจเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย และทำให้สิ้นเปลืองค่าใช้จ่ายในอนาคต ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อ ควรพิจารณาให้รอบด้าน ทั้งเรื่องประเภท ขนาด มาตรฐาน มอก. ความน่าเชื่อถือของผู้ขาย และวิธีเก็บรักษา เพื่อให้ได้เหล็กที่มีคุณภาพ ตอบโจทย์งานก่อสร้าง และมีความทนทานในระยะยาว
สนใจสั่งซื้อเหล็ก ติดต่อสอบถามราคา หรือติดต่องานรับเหมาโครงสร้าง ได้ที่ บริษัท หงยุ่นต๊ะ เหล็กรูปพรรณ จำกัด ร้านขายเหล็กพระรามสอง หรือ
โทรศัพท์: 02 898 6638, 084 694 9989
Facebook: HTST จำหน่ายเหล็ก
Line: htst88
Email: hongjuntar@gmail.com
คำถามที่พบบ่อย
- เหล็กเส้นมีกี่ประเภท?
หลัก ๆ แล้วเหล็กเส้นแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ เหล็กเส้นกลม (Round Bar: RB) และเหล็กข้ออ้อย (Deformed Bar: DB) ซึ่งแตกต่างกันด้านลักษณะผิว และการใช้งาน
- จะรู้ได้อย่างไรว่าเหล็กเส้นเป็นของแท้มาตรฐาน มอก.?
สามารถตรวจสอบจากสัญลักษณ์ มอก. ที่ประทับอยู่บนเนื้อเหล็ก พร้อมรหัสผู้ผลิต หรือสอบถามใบรับรองจากร้านค้า และโรงงานผู้จำหน่าย
- ขนาดของเหล็กเส้นที่นิยมใช้มีอะไรบ้าง?
โดยทั่วไป เหล็กเส้นกลมจะมีขนาด 6–25 มิลลิเมตร ส่วนเหล็กข้ออ้อยจะมีขนาดตั้งแต่ 10–40 มิลลิเมตร ขึ้นอยู่กับประเภทงาน และการออกแบบโครงสร้าง
- การเก็บรักษาเหล็กเส้นควรทำอย่างไร?
ควรเก็บในที่ร่ม ห่างจากความชื้นและน้ำฝน วางบนพื้นไม้หรือคอนกรีตเพื่อป้องกันการสัมผัสดินโดยตรง และควรจัดเรียงให้เป็นระเบียบเพื่อสะดวกต่อการใช้งาน







